วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สวนสัตว์แคนาดาเสืออูฐหายขอเพิ่มรักษาความปลอดภัย

มาพร้อมความร้อน…แห้งแล้ง

260
‘หมอกควัน-ไฟป่า’ วันนี้ยังหนาแน่น!!
อีกปัญหาที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม การดำเนินชีวิตของผู้คนที่กำลังเป็นที่กล่าวขานได้รับความสนใจกว้างขวาง นั่นก็คือ ไฟป่า ปัญหาหมอกควัน ซึ่งกำลังปกคลุมในหลายพื้นที่ ยิ่งช่วงฤดูร้อนสภาพอากาศมีความแห้งแล้งยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะไม่เพียงก่อให้เกิดผล กระทบต่อพืชพันธุ์ธรรมชาติ สัตว์ป่า สภาพดินและน้ำ…

  ไฟป่าที่เผาไหม้ เกิด หมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็ก ยังส่งผลต่อสุขภาพอนามัย ทัศนวิสัยการมองเห็นรวมถึงยังส่งผลต่อการท่องเที่ยว!!

   ขณะที่ไฟป่าเกิดขึ้น  ได้กับทุกภูมิภาคในโลก ส่วนสาเหตุของไฟป่าในประเทศเขตอบอุ่นบางครั้ง อาจเกิดจากธรรมชาติ อย่างเช่น ฟ้าผ่า ฯลฯ แต่สำหรับไฟป่าบ้านเรากล่าวกันว่าไม่พบสาเหตุจากสิ่งดังกล่าว แต่เกิดจากความเชื่อ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อิศเรศ สิทธิโรจนกุล นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าเชียงใหม่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์  ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ  สิ่งแวดล้อม บอกเล่าว่าจากการที่หน่วยงานได้  ติดตามสภาพภูมิอากาศ โลกคาดการณ์ว่าปีนี้จะเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ่ปริมาณน้ำฝนจะน้อยหรือ ไม่ก็ฝนทิ้งช่วง ประกอบกับ  การสะสมของเชื้อเพลิงใน ป่าที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า  มีจำนวนมาก ซึ่งถ้าในกรณี  เกิดไฟป่าก็จะมีความรุน  แรงมาก

   “ภาคเหนือเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เป็นเมือง  ท่องเที่ยว การเกิดไฟไหม้ป่าไม่เพียงส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติระบบนิเวศ แต่ยังมีผลต่อสุขภาพอนามัย การท่องเที่ยว โดยพื้นที่เชียงใหม่เคยประสบปัญหาหมอกควันไฟจากการเตรียมพื้นที่การเกษตรและไฟไหม้ป่า

   ที่ผ่านมาทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า  และพันธุ์พืชได้รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันป้องกัน  ไฟป่าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการป้องกันและควบคุมไฟป่าเป็นแบบบูรณาการ ในพื้นที่ได้มีการประสานกับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีความเข้าใจในสถานการณ์ไฟป่า ทุกหน่วยงานช่วยกันป้องกันไฟป่าอย่างเต็มที่”

   ป่าที่อุดมสมบูรณ์ต้องประกอบด้วยพื้นที่ป่า มีดิน น้ำ ป่าไม้ ซึ่งจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ เวลาที่เกิดไฟป่า ไฟจะเผาใบไม้ที่ทับถมซึ่งเป็นฮิวมัสเป็นสิ่งที่ช่วยซับน้ำให้น้ำซึมลงไปใต้ดินได้มีน้ำใช้ตลอดปี แต่หากสิ่งนี้ถูกทำลายไปเวลาฝนตกลงมาก็จะส่งผลกระทบ

   ไฟป่าที่เกิดขึ้นยัง  ไปทำลายจุลินทรีย์ทั้งหลาย  ที่จะช่วยย่อยสลายรวม ทั้งทำลายชีวิตสัตว์ป่า ในระบบนิเวศ ในระยะยาวยังอาจก่อให้เกิดดินถล่มในหน้าฝน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และ  บ้านเรือน

  นอกจากนี้ไฟป่ายังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดหมอกควัน และไม่ว่าจะเป็นการเผาแบบไหนทั้งการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เผาซังข้าว เผาในที่รกร้างว่างเปล่า ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อมลพิษทางอากาศทั้งสิ้น และในสภาพที่มีความแห้งแล้งยาวก็จะยิ่งก่อเกิดไฟป่าได้ง่าย เรียกได้ว่า หากยิ่งแล้งเชื้อเพลิงก็ยิ่งมีความแห้ง การเผาที่เกิดขึ้นก็จะ  มีความรุนแรง การควบคุมไฟก็จะยากยิ่งขึ้น

  การให้ความรู้สร้างความเข้าใจ ความร่วมมือการดูแลปกป้องผืนป่า ต้นน้ำเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งในภารกิจหลักอย่างหนึ่งของการป้องกันไฟป่าได้พยายามสร้างความตระหนักให้กับภาคประชาชน เยาวชนได้เข้าใจและมีส่วนปกป้องดูแลป่า

  การป้องกันไฟป่าโดยเฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยได้ทำ แนวกันไฟ ขณะที่พื้นที่ที่ มีความเสี่ยงมีความลาดชันสูงได้ทำแนวกันไฟไว้หลายชั้น เจ้าหน้าที่หลายชุดที่ปฏิบัติงานจะประสานความร่วมมือจัดชุดเดินลาดตระเวนป้องปรามในพื้นที่ป่า สลับเวรตรวจตราต่อเนื่อง

   ขณะที่สาเหตุการเกิดไฟป่าในบ้านเราต้นเหตุจากธรรมชาติแทบไม่มี ชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บหาของป่ามีความเชื่อในการจุดไฟเก็บเห็ดป่า หาน้ำผึ้งหรือแม้แต่ การเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ จากนั้นละเลยไม่สนใจกับไฟที่ก่อ ไว้ อีกทั้งการทำการเกษตรเตรียมพื้นที่เพาะปลูกจะจุดไฟเผาหญ้า เผาซังข้าว บางครั้งลุกลามขยายไปทำให้เกิดไฟป่า ซึ่งถ้าประชาชนมีความเข้าใจไม่ทำลายป่า  โดยเฉพาะไฟป่าทำให้สภาพป่าเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่ในอนาคตอาจไม่มีน้ำ เกิดความแห้งแล้ง เกิดปัญหาหมอกควัน อากาศเป็นพิษ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต่างส่งผลต่อการดำเนินชีวิต จึงอยากขอความร่วมมือให้ช่วยกันดูแล เพราะช่วงหน้าแล้งของทุกปีมักมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น

   “การเกิดไฟป่าเวลานี้คงจะไม่มองกันเพียงเฉพาะเกิดขึ้นมากหรือน้อย แต่คงต้องหันกลับมามองถึงผลกระทบในภาพรวมต่อการเกิดภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศรวมทั้งสุขภาพอนามัยและการเผาที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการเผาป่า หรือเผาในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าคงต้องรณรงค์ให้ความรู้สร้างความเข้าใจ”

   ในเรื่องของไฟป่าผลกระทบที่เกิดขึ้นดังที่ทราบมีอยู่ไม่น้อย ไฟป่าไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับผืนป่าลักษณะใดต่าง  มีความรุนแรง และอันตราย  นักวิชาการท่านเดิมให้ความรู้พร้อมเล่าถึงการดับไฟว่าป่าสน เวลาที่ไฟไหม้จะมี ลักษณะเป็นไฟเรือน ยอด เปลวไฟจะสูงควบคุมยากขณะที่ ป่าเบญจพรรณ จะ มีสังคมพืชพวกหญ้า ป่าไผ่ ฯลฯ เวลาที่เกิดไฟไหม้ค่อน  ข้างจะดับยากจึงต้องทำแนว  รอบเพราะเวลาที่จะเข้าไปจัดการดับไฟจะเข้าถึงยาก         ป่าเต็งรัง เชื้อเพลิงในป่าส่วนมากจะเป็นพวกใบ ไม้ที่ร่วงหล่นซึ่งค่อนข้างจะดับไฟได้สะดวกกว่า ส่วน ป่าพรุ ทางภาคใต้เวลาที่มี  ไฟป่าเกิดขึ้นบางครั้งเกิดไฟใต้ดินได้ โดยไฟใต้ดินคือไฟป่าที่เผาไหม้เชื้อเพลิงที่  ฝังทับถมอยู่ในดิน มักเกิดในประเทศเขตอบอุ่นหรือที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ  ในอากาศหนาวเย็นทำให้อัตราการย่อยสลายของอินทรียวัตถุค่อนข้างมีการสะสมตัวเป็นชั้นหนาอยู่หน้าดิน ไฟชนิดนี้จะลุกลามไปช้า ๆ ใต้ผิวดิน บางครั้งยากจะสังเกตเพราะเปลวไฟหรือแสงไฟไม่โผล่พ้นขึ้นมาบนผิวดิน อีกทั้งควันน้อยจึงทำให้ยากต่อการดับ

   เวลาที่ได้รับแจ้งตรวจพบไฟจึงต้องทราบถึงสภาพพื้นที่ว่า มีความลาดชันอย่างไร หากลาดชันเชื้อเพลิงมีความหนาแน่นก็อาจมีแนวโน้มของไฟรุนแรง หากมีลม ลมก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้ไฟรุนแรงลุกลามไปเร็ว ถ้าไฟสูงจะใช้ถังน้ำฉีดไปที่เชื้อเพลิงให้อุณหภูมิลดลง ใช้ไม้ตบดับไฟ พอไฟดับก็ยังคงต้องใช้น้ำฉีดตามแนวดำที่ไหม้อีกเพื่อไม่ให้ไฟโหมขึ้น ฯลฯ ซึ่งการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนจะต้องมั่นใจว่าจะไม่มีไฟเกิดขึ้นอีก

   แต่ทั้งนี้ไม่ว่าไฟไหม้ป่าจะเกิดขึ้นกับป่าประเภทใดต่างก็นำมาซึ่งความเสียหาย สร้างความเหนื่อยยากให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานดับไฟโดยต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในการเผชิญกับเปลวไฟ ความร้อน  เขม่าควันไฟรวมทั้งความแตกต่างของพื้นที่ป่า การไม่เกิดไฟป่าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องจัดการดับไฟอย่างรีบเร่งเพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด

   จากคำกล่าวที่มักได้ยินคุ้นชินกันที่ว่า ไฟมาป่าหมด การเรียนรู้ทำความเข้าใจจึงมีความสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยพิทักษ์ผืนป่า หากแต่  มีความหมายต่อการรักษาระบบนิเวศสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติเพื่อการคงอยู่อย่างยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น