วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วาฬและโลมา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแห่งท้องทะเล / วินิจ รังผึ้ง

 


    เมื่อเอ่ยถึงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลผู้คนคงนึกถึงปลาเป็นอันดับแรก แต่จะมีสักกี่คนที่นึกถึงสัตว์ทะเลที่ใกล้เคียงกับมนุษย์เรามากที่สุดและยังเป็นสัตว์ที่มีพัฒนาการสูงนั่นคือ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ซึ่งมนุษย์เราก็จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นชื่อก็บอกอย่างตรงตัวอยู่แล้วว่ามีพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกด้วยน้ำนมของผู้เป็นแม่ หลายคนอาจจะพบเห็นภาพของความอบอุ่นที่ทารกดื่มนมจากอกมารดาผู้ให้กำเนิด แต่คงยากจะนึกภาพออกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใต้ท้องทะเลนั้น จะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร จะมีนมให้ลูกกินหรือไม่ และใต้ทะเลนั้นจะให้ลูกกินนมอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ
      
       หลายคนอาจยังนึกไม่ออกว่าสัตว์ที่จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใต้ท้องทะเลนั้น มีหน้าตาอย่างไร หรือมีสัตว์อะไรบ้าง ในจำนวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในท้องทะเลที่เราท่านน่าจะรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั้นก็เช่น โลมาและวาฬที่เราเรียกกันอย่างติดปากว่าปลาโลมาและปลาวาฬนั่นเอง ความจริงใครจะเรียกว่าปลาโลมาและปลาวาฬนั้นก็คงไม่ผิด เพราะรูปร่างหน้าตานั้นทั้งโลมาและวาฬแต่ละชนิดก็ได้พัฒนารูปร่างหน้าตาจากบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโบราณเมื่อประมาณ 45 ล้านปีก่อนจำพวก Mesonyx ซึ่งนักวิชาการบอกว่ามีรูปร่างคล้ายกับหมาผสมหนู ผมพยายามนึกภาพสัตว์ทั้งสองผสมกันอย่างไรก็ยังนึกไม่ออก เมื่อผ่านกาลเวลาเนิ่นนานทั้งโลมาและวาฬก็ผ่านการปรับตัวจนมีวิวัฒนาการให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลจนมีรูปร่างที่เพรียวน้ำ สามารถเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว และมีรูปร่างหน้าตาเหมือนปลาดี ๆ นี่เอง ใครจะเรียกปลาโลมาและปลาวาฬตามชื่อเรียกท้องถิ่นที่ชาวบ้านคุ้นเคยก็คงไม่ผิด แต่สำหรับนักชีววิทยาทางทะเลนั้นเขาจำแนกทั้งโลมาและวาฬออกจากสัตว์จำพวกปลา เข้ารวมกับกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์
      
       นอกจากจะมีพัฒนาการด้านรูปร่างหน้าตาให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในท้องทะเลได้แล้ว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยังคงหายใจด้วยการใช้ปอดฟอกโลหิต จึงยังต้องมีช่องจมูกที่ใช้หายใจซึ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่บนหัว ตรงช่องที่ใช้พ่นน้ำออกแล้วหายใจเอาอากาศเข้าไปซึ่งวาฬและโลมารวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆอย่างเช่นพะยูน จึงจำเป็นต้องว่ายขึ้นมาหายใจบริเวณผิวน้ำเป็นระยะๆ นอกจากนี้มันยังได้พัฒนาด้วยการเพิ่มชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อป้องกันการสูญเสียอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย และปรับให้กลไกของร่างกายมีการเผาผลาญต่ำ จึงทำให้สามารถอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลายาวนานเช่นวาฬหัวทุย ( Physeter macrocephalus ) สามารถดำน้ำได้ลึกถึงราว 3,000 เมตรเลยทีเดียว
      
       โลมาและวาฬจะออกลูกเป็นตัวเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป โดยลูกที่เกิดมาจะมีขนาดใหญ่ราว 40 เปอร์เซ็นต์ของพ่อแม่ เพื่อประโยชน์ในการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย และสามารถอยู่รอดได้ในสภาวะแวดล้อมของท้องทะเล เมื่อคลอดออกมาก็จะสามารถว่ายน้ำได้ทันที โดยแม่จะเป็นผู้คอยดูแลเอาหัวดุนให้ลูกขึ้นไปหายใจบนผิวน้ำ และจะว่ายเวียนดูแลเลี้ยงลูกเป็นเวลานานจนกว่าลูกจะหย่านม ซึ่งในวาฬบางชนิดใช้เวลาเลี้ยงดูลูกเป็นเวลานานถึง 2 ปี แม่โลมาและวาฬจะให้นมลูกโดยหัวนมที่อยู่บริเวณใต้ท้อง ซึ่งจะซ่อนอยู่สองข้างใกล้กับช่องเพศซึ่งมีกล้ามเนื้อยึดรอบสำหรับบีบตัวให้หัวนมโผล่ออกมาเมื่อลูกต้องการ และดึงกลับไปซ่อนในตัวเมื่อให้นมลูกเสร็จ นอกจากโลมาและวาฬจะต้องเลี้ยงดูทะนุถนอมลูกน้อยเช่นเดียวกับมนุษย์แล้ว มันยังเป็นสัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการสื่อสารระหว่างกันโดยใช้กริยาท่าทางและเสียง โดยโลมาและวาฬในกลุ่มที่มีฟันนั้น สามารถส่งสัญญาณเสียงออกไปแล้วรับการสะท้อนกลับมาแปลเป็นสัญญาณเข้าสู่สมอง ส่วนในกลุ่มที่ไม่มีฟันจะใช้สัญญาณเสียงอีกลักษณะหนึ่งที่มีความถี่ต่ำ ซึ่งสัญญาณเสียงนี้อาจดังไปไกลได้หลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว
      
       สัญญาณเสียงที่โลมาส่งออกมานั้น นักวิทยาศาสตร์บางท่านศึกษาว่ามันสามารถจะส่งสัญญาณเสียงแล้วสะท้อนกลับมาแปรเป็นภาพได้ราวการการทำอัลตราซาวด์ สามารถจะเห็นภาพโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ที่ว่ายน้ำอยู่ ถึงขนาดที่มันสามารถจะรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังอุ้มท้องมีชีวิตเล็กๆอยู่ในท้องด้วย แหล่งข้อมูลทางวิชาการไม่ได้บอกว่ามันบอกได้ถึงขนาดว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชายด้วยหรือเปล่า
      
       อย่างไรก็ตามฝรั่งต่างชาติยังเชื่อในทฤษฎีโลมาบำบัด โดยการให้เด็กป่วยและเด็กพิการลงไปว่ายน้ำเล่นกับโลมา ซึ่งโลมาจะเข้ามาคลอเคลียและสามารถจะกระตุ้นให้เด็กๆเหล่านั้นเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางที่ดีขึ้น ร่าเริงขึ้น และทุเลาจากการการเจ็บป่วย ความจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะโลมานั้นนับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีมันสมองเฉลียวฉลาด และคงจะรับรู้ได้ดีว่ามนุษย์นั้นไม่เป็นอันตรายต่อมัน จึงเข้ามาให้เด็กๆลูบหัว หรือขึ้นมาชูคอยิ้มอย่างเป็นมิตร
      
       แม้นผมเองซึ่งก็ไม่เด็กแล้วและก็มิได้ป่วยไข้อะไร แต่เมื่อได้มีโอกาสดำน้ำกับฝูงโลมาครั้งหนึ่งในชีวิต ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย ซึ่งหลายปีมาแล้วที่ทะเลแดงในน่านน้ำอียิปต์ เรานั่งเรือยางเตรียมตัวลงดำน้ำกันบริเวณเรือจมลำหนึ่ง แต่แล้วก็มีโลมาฝูงใหญ่ว่ายสวนทางมา เราจึงพร้อมใจกันหงายหลังทิ้งตัวจากเรือยางลงดำดิ่งกลางฝูงโลมา ซึ่งพอหน้ากากสัมผัสกับผืนน้ำก็เห็นภาพของโลมาขนาดยาวเมตรครึ่งกว่า 10 ตัว ว่ายเวียนวนส่งเสียงเล็กแหลมดังไปทั่วท้องทะเล มันว่ายผ่านเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนทักทายแล้วก็ว่ายจากไป มันคงกำลังเดินทางไกลไปไหนสักแห่งกระมังจึงไม่มีเวลาอยู่เล่นกับพวกเรานาน แต่เพียงชั่วนาทีสั้นๆนั้นก็ได้สร้างความตื่นเต้นและความปีติให้กับผู้ได้พบเห็นไม่น้อย
      
       จากรายงานของทีมงานนักวิจัยจากสถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเลจังหวัดภูเก็ตพบว่า ในน่านน้ำทะเลไทยนั้นมีรายงานการพบโลมาและวาฬจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 19 ชนิด คือ วาฬฟิน วาฬบรูด้า วาฬหัวทุย วารฬหัวทุยเล็ก วาฬหัวทุยแคระ วาฬฟันเขี้ยว วาฬเพชฌฆาต วาฬเพชฌฆาตดำ วาฬนำร่องครีบสั้น วาฬหัวแตงโม โลมาเผือกหรือโลมาหลังโหนก โลมาปากขวด โลมาฟันห่าง โลมาปากยาว โลมากระโดด โลมาแถบ โลมาลายจุด โลมาหัวบาตรหรือโลมาอิระวดี และโลมาหัวบาตรหลังเรียบ
      
       สำหรับสถานการณ์โลมาและวาฬในเมืองไทยนั้นยังนับเป็นโชคดี ที่คนไทยเราไม่ล่าและไม่นิยมกินเนื้อโลมาและวาฬเหมือนคนบางกลุ่มบางชาติ การล่าทำลายจึงไม่ค่อยมีเท่าใดนัก และคนไทยเราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีกับโลมาในฐานะที่มันเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาด ทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์เรา จึงมีความเชื่อกันว่าเมื่อออกเรือแล้วได้เจอกับฝูงโลมา ก็จะเป็นความโชคดี เพราะโลมาจะนำโชคดีมาให้ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันสำหรับพวกที่แอบล่าโลมาเป็นๆส่งขายตามแหล่งเลี้ยงโลมา แต่ก็มีไม่มากเท่าใดนัก เพราะโลมานั้นว่ายน้ำได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่ค่อยติดอวนกันง่ายๆ
      
       มนุษย์บางกลุ่มยังคงล่าโลมาและวาฬอย่างโหดร้ายทารุณเพื่อแลกกับเงินตราโดยไม่ได้คำนึงถึงว่าโลมาและวาฬนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์ หรือว่ามนุษย์เรากำลังมีพัฒนาการครั้งใหญ่ ที่กำลังจะเปลี่ยนตัวเองจาก “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ไปเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน” แล้วก็ไม่รู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น