วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เสน่ห์ทะเลไทยลดวูบ! ‘ปะการังวิกฤติ’ เสื่อมโทรม 3.5 หมื่นไร่

     เมื่อครั้งที่ “สึนามิ” ถล่มชายฝั่งทะเลไทยด้านอันดามันได้มีการพูดถึงประเด็นความ “เสียหาย” ของ “ปะการัง” ในน่านน้ำไทย ซึ่งบางฝ่ายก็ระบุว่าเสียหายไม่มาก แถมบางพื้นที่ยังสวยงามกว่าเดิมด้วย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วมันก็มีส่วนที่เสียหาย และเมื่อรวมกับการเสียหายจากสาเหตุอื่น ๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง...



ปะการังน่านน้ำไทยเสียหายไปเกือบครึ่งแล้ว

และน้ำมือมนุษย์ก็ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญ !!

“จากรายงานการสำรวจแนวปะการังไทย จากพื้นที่ทะเลของไทย 482,000 ตารางกิโลเมตร มีหมู่เกาะ 564 เกาะ ในจำนวนดังกล่าวมีพื้นที่ แนวปะการังประมาณ 96,000 ไร่ ในภาพรวมพบความเสื่อมโทรม 37% (ประมาณ 35,520 ไร่)” ...เป็นการเปิดเผยของ นิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ในจำนวนพื้นที่ทะเลไทยทั้งหมด แบ่งเป็นพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย    ประมาณ 47,000 ไร่ ปะการังมีความเสื่อมโทรม 24% พื้นที่ฝั่งอันดามันประมาณ 49,000 ไร่ ปะการังมีความเสื่อมโทรมสูงถึง 50%

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา มีนักท่องเที่ยวกว่า 100 ล้านคนแล้วที่เดินทางท่องเที่ยวจังหวัดชายฝั่งทะเลไทย ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ และว่ากันเฉพาะในแต่ละปี ก็มีนักท่องเที่ยวกว่า 9 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 84 มุ่งตรงสู่ 5 จังหวัดชายฝั่งทะเล ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ ฝั่งทะเลอันดามัน สุราษฎร์ธานี สงขลา ฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง และชลบุรี ฝั่งอ่าวไทยตะวันออก ซึ่งส่วนหนึ่งนิยมดำน้ำดูปะการัง

“ปะการัง” เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน แนวปะการังไทยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปี

อีกทั้งยังเป็นยารักษาโรค และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางทะเล จึงนับได้ว่าปะการังมีความสำคัญและให้ประโยชน์มากมาย ทั้งต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติ และประโยชน์ต่อมนุษย์

แต่ปัญหาก็คือ...ปะการังไทยมีแนวโน้มเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสาเหตุที่เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น พายุ สึนามิ การฟอกขาวของปะการัง การโผล่พ้นน้ำในช่วงที่น้ำลงต่ำมาก การไหลของน้ำจืดลงสู่ทะเล การแย่งพื้นที่โดยสาหร่ายและพรมทะเล ฯลฯ และที่สำคัญอีกด้านคือ ความเสื่อมโทรมที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การระเบิดปลา การทิ้งสมอเรือ การดำน้ำ เรือชนหรือเกยตื้น การเหยียบย่ำและการเก็บสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง เครื่องมือประมง การขุดร่องน้ำ ขยะ น้ำมัน ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะชุมชนชายทะเล ที่มีแนวโน้มขัดแย้งและแก่งแย่งทรัพยากรเพิ่มขึ้น

จุดนี้เป็นที่มาของมาตรการลดภัยคุกคาม-ฟื้นฟูแนวปะการัง    โดยใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม ได้แก่ การเพิ่มพื้นที่ในการลงเกาะ   ของตัวอ่อนปะการัง การย้ายปลูกปะการัง การเพาะเลี้ยง อนุบาลตัว    อ่อนปะการังที่มาจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและชิ้นส่วนปะการัง   ขนาดเล็ก มีการจัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาข้อมูลสถานภาพ-ลักษณะปัญหา และหาข้อสรุปแนวทางฟื้นฟูปะการังที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่


สิ่งที่เกิดตามมาคือการแบ่งสภาวะความเสื่อมโทรมของแนวปะการังตามการคุกคามได้เป็น 4 สภาวะคือ... สภาวะสมดุล, สภาวะเตือนภัย, สภาวะเสี่ยงภัย, สภาวะวิกฤติ

สภาวะสมดุล เป็นสภาวะที่ต้องรักษาหรือคุ้มครองไว้, สภาวะเสี่ยงภัย ต้องมีมาตรการควบคุมหรือลดภัยคุกคามต่อแนวปะการัง เช่น การดำน้ำ การทิ้งสมอเรือ และต้องกำหนดมาตรการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น คุณภาพน้ำ ตะกอนดิน, สภาวะเตือนภัยและสภาวะวิกฤติ ต้องมีการศึกษาพื้นที่ลงเกาะของปะการัง และกำหนดมาตรการในการปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมกับการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง

นอกจากนี้ ต้องมีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมในการฟื้นฟูแนวปะการัง โดยในทุกสภาวะต้องมีการประเมินความสำเร็จของแต่ละมาตรการว่ามีศักยภาพในการฟื้นตัวของแนวปะการังหรือไม่ เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนหรือหามาตรการที่เหมาะสมจริง ๆ ทั้งนี้ แนวปะการังที่เสื่อมโทรมลงอาจมีการฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ แต่ในบางกรณี “มนุษย์จำเป็นต้องช่วยในการฟื้นฟูแนวปะการัง” ด้วย

เกณฑ์ที่สำคัญในการพิจารณาเพื่อฟื้นฟูปะการังไทยนั้น ประกอบด้วย... สาเหตุที่ทำให้ปะการังเสื่อมโทรม, ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อปะการัง, พื้นที่ในการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง, ตัวอ่อนของปะการังในมวลน้ำ, ความสามารถในการฟื้นตัวตามธรรมชาติและความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม, เทคนิคและวิธีที่เหมาะสม, ความคุ้มค่าของโครงการฟื้นฟูแนวปะการัง, ความสำเร็จของโครงการในระยะยาว, การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากชุมชน และกฎหมาย นโยบาย การวางแผนและการจัดการ

“ล่าสุดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านปะการังมหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดทำแผนฟื้นฟูเพื่อสกัดภัยคุกคามปะการัง” ...ผอ.ส่วนอนุรักษ์และฟื้นฟู กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ดร.ปิ่นศักดิ์ สุรัสวดี ระบุ ซึ่งก็หวังกันว่านี่จะช่วยคงเสน่ห์การท่องเที่ยวทางทะเลของประเทศไทยเอาไว้

แต่สำคัญที่สุดคือ “จิตสำนึกคนไทย” ที่เกี่ยวข้อง

ต้องไม่ทำลาย-ต้องช่วยกันดูแล “ปะการังไทย”

ก่อนจะเสื่อมโทรมสูญเสียจนไม่อาจฟื้นฟู !!!!!.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น