วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นก”อีเสือสีน้ำตาล”ปากแหลมคม ฉีกอาหารกินคล้ายเสือ

นก”อีเสือสีน้ำตาล”ปากแหลมคม ฉีกอาหารกินคล้ายเสือ

1-9-2553 19-10-14

ช่วงนี้เริ่มงวดเข้าสู่ฤดูฝนเข้าไปทุกขณะ หลายพื้นที่ “น้ำจากฟ้า” เริ่มตกลงมาประปรายสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับทุ่งหญ้า ป่าเขา ส่งผลให้กลุ่ม “รักษ์ธรรม ชาติ” โดยเฉพาะนัก “ส่องนก” เริ่มเสาะหาพื้นที่ปักหลักกางเต็นท์กันแล้ว
และ…นางสาวปัญจพร ศรีบุญช่วย ทีมงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้แนะนำ “นกอีเสือสีน้ำตาล” ที่นอกจากจะมีนิสัย ฉีกทึ้งอาหารคล้ายเสือ ยังชอบเก็บไว้กินมื้อถัดไป ผ่านมายังทีมงาน “หลายชีวิต” ให้หลายๆคนรู้จักไปพร้อมกัน
…อีเสือสีน้ำตาล (Brown shrike) เป็นนกเมืองหนาวอพยพย้ายถิ่นอาศัยเข้ามาหากินในประ–เทศไทย พบได้บ่อยในช่วงปลายฤดูร้อนและปลายฤดูฝน ทั่วประเทศมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด คือ นกอีเสือลายเสือ นกอีเสือหลังแดง นกอีเสือหลังเทา นกอีเสือสีน้ำตาล และนกอีเสือหัวดำ ซึ่งสองชนิดหลังนี้จะพบบ่อยตามทุ่งนา ป่าหญ้า
นกอีเสือฯ มีนิสัยหวงถิ่นหากิน ส่งเสียงดัง “แจ้ก… แซ้ก…แจ้ก…แซ็ก” บินวนไปมาเพื่อไล่นกชนิดอื่นๆที่เข้ามาใกล้เขตหากิน ไม่เว้นแม้แต่นกล่าเหยื่ออย่างเหยี่ยว ชอบหากินตามลำพัง เกาะอยู่ตัวเดียวตามกิ่งไม้ รั้วบ้าน ทุ่งหญ้า ท้องนาโล่ง อย่างสงบนิ่งไม่ส่งเสียงหรือเคลื่อนไหว มีเฉพาะเพียงดวงตาที่คอยขยับเขยื้อนจับจ้องมองหาเหยื่อโชคร้ายที่ผ่านไปมา
…อย่างพวกแมลงปีกแข็ง ตั๊กแตน กบ เขียด จิ้งเหลน กิ้งก่า ลูกหนู รวมทั้งลูกนก พวกมันก็ไม่ละเว้น ถ้ามันได้เหยื่อจะใช้ปากงุ้ม เขี้ยวที่แหลมคมฉีกเนื้อของเหยื่อที่จับได้ออกเป็นชิ้นๆกิน นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมพวกมันที่คล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างเสือโคร่งหรือเสือดาว คือหลังจับเหยื่อได้แล้วด้วยเพราะว่ากรงเล็บมันไม่แข็งแรงพอจับเหยื่อฉีกกิน
ดังนั้นมันจึงต้องใช้ ประโยชน์จากต้นไม้ที่มีหนาม หรือแม้กระทั่งลวด หนามเพื่อเสียบเหยื่อให้ สามารถฉีกกินได้สะดวก จนกระทั่งอิ่ม นิสัยของนกอีเสือฯ ยังชอบ “เหลือเหยื่อไว้กินคราวต่อไป” พฤติกรรมนี้นอกจากง่ายต่อการ “เปิบ” ในมื้อนั้นแล้ว ยังอวดความสามารถในการล่า เพื่อดึงดูดตัวเมียด้วยเช่นกัน
รูปร่างลักษณะของนกอีเสือฯนั้น หัว โต คิ้ว เป็นเส้นสีน้ำตาลอ่อนออกขาว ปาก ใหญ่หนา ปลายปากแหลมงุ้มเป็นจะงอยสีน้ำตาลเข้มออกดำ ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นของมัน และที่แปลกกว่านกทั่วๆไปคือ พวกมันมี “ปากแหลมๆหนึ่งซี่อยู่ที่ขอบปากบน” มี แถบสีดำตั้งแต่โคนปากไปถึงหู ดูคล้าย “หน้ากาก”
ลำตัว เพรียว ขน คลุมลำตัวสีน้ำตาลแดง ปีก สีน้ำตาลเข้มที่ใต้คาง หน้าอกสีน้ำตาลปนขาว หาง ยาวสีตาลเข้มกว่าลำตัว ใต้หางบริเวณก้นสีน้ำตาลปนเทาอ่อน ขาสีดำ เล็บแข็งแรงแหลมคม ตัวผู้และตัวเมียสีจะคล้ายกัน
สำหรับช่วงฤดูผสมพันธุ์จะอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนตุลาคม หลังจากจับคู่แล้ว ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันหากิ่งเหมาะบนต้นไม้ที่มีความสูง เพื่อทำรังวางไข่ ครั้งหนึ่งมีประมาณ 3-6 ฟอง ใช้เวลากก 15-16 วัน ลูกนกจึงออกมา ในวัยที่ยังเล็กทั้งพ่อและแม่นกจะช่วยกันหาอาหารมาป้อน กระทั่งผ่านพ้น 2 สัปดาห์ เจ้าตัวเล็กจะเริ่มหัดบิน
เมื่อปีกกล้าขาแข็งดีแล้ว จึงออกจากอกแม่บินแล้วสู่โลกกว้างไปใช้ชีวิตเพียงลำพัง ในช่วงที่ยังไม่โตเต็มวัย แถบคาดที่เป็นหน้ากากจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ขนคลุมลำตัวสีน้ำตาลแดง บริเวณใต้คางถึงหน้าอกสีขาวนวล มีลายคล้ายเกล็ดปลาทั่วตัว โตเต็มวัยวัดจากหัวถึงปลายหางยาวประมาณ 20 ซม.
อย่างไรก็ตาม แม้บรรดาเกษตรกรต่างยอมรับกันว่านกอีเสือฯเป็นนกที่มีส่วนช่วยลดประชากรของแมลงศัตรูพืชตามท้องไร่ท้องนาได้ดีเยี่ยม แต่ ปัจจุบันพบว่าประชากรของนกอีเสือฯเริ่มหมิ่นเหม่ต่อการสูญพันธุ์ ฉะนี้พวก มันจึงถูกจัดเป็นหนึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองด้วยเช่นกัน!!!!!

สวนสัตว์แคนาดาเสืออูฐหายขอเพิ่มรักษาความปลอดภัย

มาพร้อมความร้อน…แห้งแล้ง

260
‘หมอกควัน-ไฟป่า’ วันนี้ยังหนาแน่น!!
อีกปัญหาที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม การดำเนินชีวิตของผู้คนที่กำลังเป็นที่กล่าวขานได้รับความสนใจกว้างขวาง นั่นก็คือ ไฟป่า ปัญหาหมอกควัน ซึ่งกำลังปกคลุมในหลายพื้นที่ ยิ่งช่วงฤดูร้อนสภาพอากาศมีความแห้งแล้งยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะไม่เพียงก่อให้เกิดผล กระทบต่อพืชพันธุ์ธรรมชาติ สัตว์ป่า สภาพดินและน้ำ…

  ไฟป่าที่เผาไหม้ เกิด หมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็ก ยังส่งผลต่อสุขภาพอนามัย ทัศนวิสัยการมองเห็นรวมถึงยังส่งผลต่อการท่องเที่ยว!!

   ขณะที่ไฟป่าเกิดขึ้น  ได้กับทุกภูมิภาคในโลก ส่วนสาเหตุของไฟป่าในประเทศเขตอบอุ่นบางครั้ง อาจเกิดจากธรรมชาติ อย่างเช่น ฟ้าผ่า ฯลฯ แต่สำหรับไฟป่าบ้านเรากล่าวกันว่าไม่พบสาเหตุจากสิ่งดังกล่าว แต่เกิดจากความเชื่อ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อิศเรศ สิทธิโรจนกุล นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าเชียงใหม่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์  ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ  สิ่งแวดล้อม บอกเล่าว่าจากการที่หน่วยงานได้  ติดตามสภาพภูมิอากาศ โลกคาดการณ์ว่าปีนี้จะเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ่ปริมาณน้ำฝนจะน้อยหรือ ไม่ก็ฝนทิ้งช่วง ประกอบกับ  การสะสมของเชื้อเพลิงใน ป่าที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า  มีจำนวนมาก ซึ่งถ้าในกรณี  เกิดไฟป่าก็จะมีความรุน  แรงมาก

   “ภาคเหนือเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เป็นเมือง  ท่องเที่ยว การเกิดไฟไหม้ป่าไม่เพียงส่งผลกระทบสร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติระบบนิเวศ แต่ยังมีผลต่อสุขภาพอนามัย การท่องเที่ยว โดยพื้นที่เชียงใหม่เคยประสบปัญหาหมอกควันไฟจากการเตรียมพื้นที่การเกษตรและไฟไหม้ป่า

   ที่ผ่านมาทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า  และพันธุ์พืชได้รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันป้องกัน  ไฟป่าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการป้องกันและควบคุมไฟป่าเป็นแบบบูรณาการ ในพื้นที่ได้มีการประสานกับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีความเข้าใจในสถานการณ์ไฟป่า ทุกหน่วยงานช่วยกันป้องกันไฟป่าอย่างเต็มที่”

   ป่าที่อุดมสมบูรณ์ต้องประกอบด้วยพื้นที่ป่า มีดิน น้ำ ป่าไม้ ซึ่งจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ เวลาที่เกิดไฟป่า ไฟจะเผาใบไม้ที่ทับถมซึ่งเป็นฮิวมัสเป็นสิ่งที่ช่วยซับน้ำให้น้ำซึมลงไปใต้ดินได้มีน้ำใช้ตลอดปี แต่หากสิ่งนี้ถูกทำลายไปเวลาฝนตกลงมาก็จะส่งผลกระทบ

   ไฟป่าที่เกิดขึ้นยัง  ไปทำลายจุลินทรีย์ทั้งหลาย  ที่จะช่วยย่อยสลายรวม ทั้งทำลายชีวิตสัตว์ป่า ในระบบนิเวศ ในระยะยาวยังอาจก่อให้เกิดดินถล่มในหน้าฝน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และ  บ้านเรือน

  นอกจากนี้ไฟป่ายังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดหมอกควัน และไม่ว่าจะเป็นการเผาแบบไหนทั้งการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เผาซังข้าว เผาในที่รกร้างว่างเปล่า ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อมลพิษทางอากาศทั้งสิ้น และในสภาพที่มีความแห้งแล้งยาวก็จะยิ่งก่อเกิดไฟป่าได้ง่าย เรียกได้ว่า หากยิ่งแล้งเชื้อเพลิงก็ยิ่งมีความแห้ง การเผาที่เกิดขึ้นก็จะ  มีความรุนแรง การควบคุมไฟก็จะยากยิ่งขึ้น

  การให้ความรู้สร้างความเข้าใจ ความร่วมมือการดูแลปกป้องผืนป่า ต้นน้ำเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งในภารกิจหลักอย่างหนึ่งของการป้องกันไฟป่าได้พยายามสร้างความตระหนักให้กับภาคประชาชน เยาวชนได้เข้าใจและมีส่วนปกป้องดูแลป่า

  การป้องกันไฟป่าโดยเฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยได้ทำ แนวกันไฟ ขณะที่พื้นที่ที่ มีความเสี่ยงมีความลาดชันสูงได้ทำแนวกันไฟไว้หลายชั้น เจ้าหน้าที่หลายชุดที่ปฏิบัติงานจะประสานความร่วมมือจัดชุดเดินลาดตระเวนป้องปรามในพื้นที่ป่า สลับเวรตรวจตราต่อเนื่อง

   ขณะที่สาเหตุการเกิดไฟป่าในบ้านเราต้นเหตุจากธรรมชาติแทบไม่มี ชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บหาของป่ามีความเชื่อในการจุดไฟเก็บเห็ดป่า หาน้ำผึ้งหรือแม้แต่ การเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ จากนั้นละเลยไม่สนใจกับไฟที่ก่อ ไว้ อีกทั้งการทำการเกษตรเตรียมพื้นที่เพาะปลูกจะจุดไฟเผาหญ้า เผาซังข้าว บางครั้งลุกลามขยายไปทำให้เกิดไฟป่า ซึ่งถ้าประชาชนมีความเข้าใจไม่ทำลายป่า  โดยเฉพาะไฟป่าทำให้สภาพป่าเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่ในอนาคตอาจไม่มีน้ำ เกิดความแห้งแล้ง เกิดปัญหาหมอกควัน อากาศเป็นพิษ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต่างส่งผลต่อการดำเนินชีวิต จึงอยากขอความร่วมมือให้ช่วยกันดูแล เพราะช่วงหน้าแล้งของทุกปีมักมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น

   “การเกิดไฟป่าเวลานี้คงจะไม่มองกันเพียงเฉพาะเกิดขึ้นมากหรือน้อย แต่คงต้องหันกลับมามองถึงผลกระทบในภาพรวมต่อการเกิดภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศรวมทั้งสุขภาพอนามัยและการเผาที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการเผาป่า หรือเผาในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าคงต้องรณรงค์ให้ความรู้สร้างความเข้าใจ”

   ในเรื่องของไฟป่าผลกระทบที่เกิดขึ้นดังที่ทราบมีอยู่ไม่น้อย ไฟป่าไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับผืนป่าลักษณะใดต่าง  มีความรุนแรง และอันตราย  นักวิชาการท่านเดิมให้ความรู้พร้อมเล่าถึงการดับไฟว่าป่าสน เวลาที่ไฟไหม้จะมี ลักษณะเป็นไฟเรือน ยอด เปลวไฟจะสูงควบคุมยากขณะที่ ป่าเบญจพรรณ จะ มีสังคมพืชพวกหญ้า ป่าไผ่ ฯลฯ เวลาที่เกิดไฟไหม้ค่อน  ข้างจะดับยากจึงต้องทำแนว  รอบเพราะเวลาที่จะเข้าไปจัดการดับไฟจะเข้าถึงยาก         ป่าเต็งรัง เชื้อเพลิงในป่าส่วนมากจะเป็นพวกใบ ไม้ที่ร่วงหล่นซึ่งค่อนข้างจะดับไฟได้สะดวกกว่า ส่วน ป่าพรุ ทางภาคใต้เวลาที่มี  ไฟป่าเกิดขึ้นบางครั้งเกิดไฟใต้ดินได้ โดยไฟใต้ดินคือไฟป่าที่เผาไหม้เชื้อเพลิงที่  ฝังทับถมอยู่ในดิน มักเกิดในประเทศเขตอบอุ่นหรือที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ  ในอากาศหนาวเย็นทำให้อัตราการย่อยสลายของอินทรียวัตถุค่อนข้างมีการสะสมตัวเป็นชั้นหนาอยู่หน้าดิน ไฟชนิดนี้จะลุกลามไปช้า ๆ ใต้ผิวดิน บางครั้งยากจะสังเกตเพราะเปลวไฟหรือแสงไฟไม่โผล่พ้นขึ้นมาบนผิวดิน อีกทั้งควันน้อยจึงทำให้ยากต่อการดับ

   เวลาที่ได้รับแจ้งตรวจพบไฟจึงต้องทราบถึงสภาพพื้นที่ว่า มีความลาดชันอย่างไร หากลาดชันเชื้อเพลิงมีความหนาแน่นก็อาจมีแนวโน้มของไฟรุนแรง หากมีลม ลมก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้ไฟรุนแรงลุกลามไปเร็ว ถ้าไฟสูงจะใช้ถังน้ำฉีดไปที่เชื้อเพลิงให้อุณหภูมิลดลง ใช้ไม้ตบดับไฟ พอไฟดับก็ยังคงต้องใช้น้ำฉีดตามแนวดำที่ไหม้อีกเพื่อไม่ให้ไฟโหมขึ้น ฯลฯ ซึ่งการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนจะต้องมั่นใจว่าจะไม่มีไฟเกิดขึ้นอีก

   แต่ทั้งนี้ไม่ว่าไฟไหม้ป่าจะเกิดขึ้นกับป่าประเภทใดต่างก็นำมาซึ่งความเสียหาย สร้างความเหนื่อยยากให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานดับไฟโดยต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในการเผชิญกับเปลวไฟ ความร้อน  เขม่าควันไฟรวมทั้งความแตกต่างของพื้นที่ป่า การไม่เกิดไฟป่าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องจัดการดับไฟอย่างรีบเร่งเพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด

   จากคำกล่าวที่มักได้ยินคุ้นชินกันที่ว่า ไฟมาป่าหมด การเรียนรู้ทำความเข้าใจจึงมีความสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยพิทักษ์ผืนป่า หากแต่  มีความหมายต่อการรักษาระบบนิเวศสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติเพื่อการคงอยู่อย่างยั่งยืน

ภูเก็ตเลือก “เกาะราชา” นำร่องแก้ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ-ปะการังเสื่อมโทรม

      ศูนย์ข่าวภูเก็ต - จังหวัดภูเก็ตเลือกพื้นที่ “เกาะราชา” นำร่องกำหนดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และชายฝั่งร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว และชาวประมงพื้นบ้านหลังพบแนวปะการังมีสภาพสมบูรณ์ปานกลางจนถึงเสื่อมโทรมมาก รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
      
       นายไพทูล แพนชัยภูมิ หัวหน้าศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งที่ 4 (ภูเก็ต) กล่าวถึงการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งที่เกาะราชา ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว และชาวประมงพื้นบ้าน หลังจากมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติระหว่างชาวประมงพื้นบ้าน และผู้ประกอบการท่องเที่ยวว่า สำหรับจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และสวยงาม ทำให้มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย การพัฒนาอย่างรวดเร็วดังกล่าวได้ส่งผลให้ทรัพยากรทางทะเลของจังหวัดภูเก็ตเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว
      
       จากรายงานของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง พบว่า แนวปะการังในบริเวณเกาะภูเก็ตมีสภาพสมบูรณ์ปานกลางถึงเสื่อมโทรมมาก สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้แนวปะการังเสื่อมความสมบูรณ์ลงเนื่องจากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งจากปัจจัยธรรมชาติ
      
       เช่น พายุ การระบาดของดาวหนาม ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การพัฒนาชายฝั่ง การท่องเที่ยวในแนวปะการัง การประมง การทำเหมืองแร่ในทะเล การสร้างท่าเทียบเรือ เป็นต้น ความเสื่อมโทรมของปะการังดังกล่าว ทำให้ศักยภาพของจังหวัดภูเก็ตในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญลดลง ข้อเท็จจริงนี้สวนทางกับวิสัยทัศน์ของจังหวัดภูเก็ตที่จะเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลก มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีเอกลักษณ์วัฒนธรรม และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน”
      
       นายไพทูล กล่าวต่อว่า นอกจากความเสื่อมโทรมของปะการัง ซึ่งเปรียบเสมือนบ้าน และแหล่งที่อยู่อาศัยขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ ยังมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลในการยังชีพด้วย ปัญหาที่สำคัญ คือ การเพิ่มโอกาสของความขัดแย้งระหว่างผู้ที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวข้องกับแนวปะการัง ทั้งโดยทางตรง และทางอ้อม เช่น ปัญหาระหว่างชาวประมงกับนักดำน้ำ ปัญหาระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยวกับชาวประมงหรือระหว่างผู้ประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวในทะเลด้วยกันเอง เป็นต้น
      
        ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีแนวทาง และมาตรการที่ชัดเจนในการอนุรักษ์ และบริหารจัดการ แนวปะการังของจังหวัดภูเก็ต โดยโครงการแบ่งเขตการใช้ประโยชน์แนวปะการัง จ.ภูเก็ต โดยได้ทดลองศึกษา และหาแนวทางดำเนินการในพื้นที่นำร่องบริเวณเกาะราชาใหญ่ เนื่องจากมีความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ สภาพแนวปะการัง รวมทั้งความเร่งด่วนของปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาความขัดแย้งของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน
      
       โดยการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ตามกติกาที่ได้ตกลงกันไว้ รวมทั้งผลักดันข้อกำหนดต่างๆ ให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ถ้ามีการกระทำผิด มีมาตรการลงโทษจะได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเกิดประโยชน์สูงสุด และยั่งยืนต่อไป

เสน่ห์ทะเลไทยลดวูบ! ‘ปะการังวิกฤติ’ เสื่อมโทรม 3.5 หมื่นไร่

     เมื่อครั้งที่ “สึนามิ” ถล่มชายฝั่งทะเลไทยด้านอันดามันได้มีการพูดถึงประเด็นความ “เสียหาย” ของ “ปะการัง” ในน่านน้ำไทย ซึ่งบางฝ่ายก็ระบุว่าเสียหายไม่มาก แถมบางพื้นที่ยังสวยงามกว่าเดิมด้วย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วมันก็มีส่วนที่เสียหาย และเมื่อรวมกับการเสียหายจากสาเหตุอื่น ๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง...



ปะการังน่านน้ำไทยเสียหายไปเกือบครึ่งแล้ว

และน้ำมือมนุษย์ก็ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญ !!

“จากรายงานการสำรวจแนวปะการังไทย จากพื้นที่ทะเลของไทย 482,000 ตารางกิโลเมตร มีหมู่เกาะ 564 เกาะ ในจำนวนดังกล่าวมีพื้นที่ แนวปะการังประมาณ 96,000 ไร่ ในภาพรวมพบความเสื่อมโทรม 37% (ประมาณ 35,520 ไร่)” ...เป็นการเปิดเผยของ นิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ในจำนวนพื้นที่ทะเลไทยทั้งหมด แบ่งเป็นพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย    ประมาณ 47,000 ไร่ ปะการังมีความเสื่อมโทรม 24% พื้นที่ฝั่งอันดามันประมาณ 49,000 ไร่ ปะการังมีความเสื่อมโทรมสูงถึง 50%

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา มีนักท่องเที่ยวกว่า 100 ล้านคนแล้วที่เดินทางท่องเที่ยวจังหวัดชายฝั่งทะเลไทย ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ และว่ากันเฉพาะในแต่ละปี ก็มีนักท่องเที่ยวกว่า 9 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 84 มุ่งตรงสู่ 5 จังหวัดชายฝั่งทะเล ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ ฝั่งทะเลอันดามัน สุราษฎร์ธานี สงขลา ฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง และชลบุรี ฝั่งอ่าวไทยตะวันออก ซึ่งส่วนหนึ่งนิยมดำน้ำดูปะการัง

“ปะการัง” เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน แนวปะการังไทยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปี

อีกทั้งยังเป็นยารักษาโรค และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางทะเล จึงนับได้ว่าปะการังมีความสำคัญและให้ประโยชน์มากมาย ทั้งต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติ และประโยชน์ต่อมนุษย์

แต่ปัญหาก็คือ...ปะการังไทยมีแนวโน้มเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสาเหตุที่เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น พายุ สึนามิ การฟอกขาวของปะการัง การโผล่พ้นน้ำในช่วงที่น้ำลงต่ำมาก การไหลของน้ำจืดลงสู่ทะเล การแย่งพื้นที่โดยสาหร่ายและพรมทะเล ฯลฯ และที่สำคัญอีกด้านคือ ความเสื่อมโทรมที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การระเบิดปลา การทิ้งสมอเรือ การดำน้ำ เรือชนหรือเกยตื้น การเหยียบย่ำและการเก็บสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง เครื่องมือประมง การขุดร่องน้ำ ขยะ น้ำมัน ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะชุมชนชายทะเล ที่มีแนวโน้มขัดแย้งและแก่งแย่งทรัพยากรเพิ่มขึ้น

จุดนี้เป็นที่มาของมาตรการลดภัยคุกคาม-ฟื้นฟูแนวปะการัง    โดยใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม ได้แก่ การเพิ่มพื้นที่ในการลงเกาะ   ของตัวอ่อนปะการัง การย้ายปลูกปะการัง การเพาะเลี้ยง อนุบาลตัว    อ่อนปะการังที่มาจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและชิ้นส่วนปะการัง   ขนาดเล็ก มีการจัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาข้อมูลสถานภาพ-ลักษณะปัญหา และหาข้อสรุปแนวทางฟื้นฟูปะการังที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่


สิ่งที่เกิดตามมาคือการแบ่งสภาวะความเสื่อมโทรมของแนวปะการังตามการคุกคามได้เป็น 4 สภาวะคือ... สภาวะสมดุล, สภาวะเตือนภัย, สภาวะเสี่ยงภัย, สภาวะวิกฤติ

สภาวะสมดุล เป็นสภาวะที่ต้องรักษาหรือคุ้มครองไว้, สภาวะเสี่ยงภัย ต้องมีมาตรการควบคุมหรือลดภัยคุกคามต่อแนวปะการัง เช่น การดำน้ำ การทิ้งสมอเรือ และต้องกำหนดมาตรการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น คุณภาพน้ำ ตะกอนดิน, สภาวะเตือนภัยและสภาวะวิกฤติ ต้องมีการศึกษาพื้นที่ลงเกาะของปะการัง และกำหนดมาตรการในการปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมกับการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง

นอกจากนี้ ต้องมีการพัฒนาเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมในการฟื้นฟูแนวปะการัง โดยในทุกสภาวะต้องมีการประเมินความสำเร็จของแต่ละมาตรการว่ามีศักยภาพในการฟื้นตัวของแนวปะการังหรือไม่ เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนหรือหามาตรการที่เหมาะสมจริง ๆ ทั้งนี้ แนวปะการังที่เสื่อมโทรมลงอาจมีการฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ แต่ในบางกรณี “มนุษย์จำเป็นต้องช่วยในการฟื้นฟูแนวปะการัง” ด้วย

เกณฑ์ที่สำคัญในการพิจารณาเพื่อฟื้นฟูปะการังไทยนั้น ประกอบด้วย... สาเหตุที่ทำให้ปะการังเสื่อมโทรม, ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อปะการัง, พื้นที่ในการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง, ตัวอ่อนของปะการังในมวลน้ำ, ความสามารถในการฟื้นตัวตามธรรมชาติและความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม, เทคนิคและวิธีที่เหมาะสม, ความคุ้มค่าของโครงการฟื้นฟูแนวปะการัง, ความสำเร็จของโครงการในระยะยาว, การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากชุมชน และกฎหมาย นโยบาย การวางแผนและการจัดการ

“ล่าสุดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านปะการังมหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดทำแผนฟื้นฟูเพื่อสกัดภัยคุกคามปะการัง” ...ผอ.ส่วนอนุรักษ์และฟื้นฟู กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ดร.ปิ่นศักดิ์ สุรัสวดี ระบุ ซึ่งก็หวังกันว่านี่จะช่วยคงเสน่ห์การท่องเที่ยวทางทะเลของประเทศไทยเอาไว้

แต่สำคัญที่สุดคือ “จิตสำนึกคนไทย” ที่เกี่ยวข้อง

ต้องไม่ทำลาย-ต้องช่วยกันดูแล “ปะการังไทย”

ก่อนจะเสื่อมโทรมสูญเสียจนไม่อาจฟื้นฟู !!!!!.

เปิดโปงอุตสาหกรรมไฮเทคปล่อยสารพิษปนเปื้อนแหล่งน้ำ

   กรีนพีซเปิดโปงความจริงล้างความเชื่อเก่าที่ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมสะอาดด้วยรายงานชิ้นใหม่ ที่แสดงชัดว่าบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อดัง รวมถึงบริษัทในเครือต่างกำลังก่อปัญหามลพิษทางน้ำในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น รายงาน “มลพิษจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์: การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมสิ่งแวดล้อมระหว่างการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์” เปิดเผยการปนเปื้อนสารพิษจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในแม่น้ำและบ่อน้ำใต้ดินในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยสารเคมีอันตรายหลายชนิด
 
 
 
น้ำเสียจากโรงงานถูกปล่อยลงมาสู่แหล่งน้ำสาธารณะ แถบภาคกลางของประเทศไทย
การวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย รวมทั้งน้ำเสียและตัวอย่างอื่นๆ ที่เก็บจากโรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ 4 แห่ง พบว่ามีการปนเปื้อนสารเคมีอันตรายจำนวนมากในน้ำเสียจากโรงงานเหล่านี้ซึ่งท้ายสุดก็ไปจบที่แม่น้ำลำคลอง โรงงานดังกล่าวประกอบด้วย โรงงาน Elec & Eltek (EETH) ในจังหวัดปทุมธานี โรงงาน CKL Electronics ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน โรงงาน KCE Technology ในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค และโรงงาน PCTT ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
น้ำเสียจากโรงงาน EETH ในไทย ปนเปื้อนทองแดงในปริมาณสูงที่สุด เมื่อเทียบจากตัวอย่างที่เก็บจากแหล่งอื่นทั้งหมด โดยมีปริมาณสูงเกือบสองเท่าของค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานในไทย  ตัวอย่างน้ำใต้ดินที่เก็บจากบริเวณใกล้นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค พบว่ามีปริมาณการปนเปื้อนนิกเกิล สูงกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด และสูงกว่าค่ามาตรฐานของคุณภาพน้ำใต้ดินของไทยเกือบ 5 เท่า
นอกจากนี้ยังพบว่า โรงบำบัดน้ำเสียรวมของนิคมอุตสาหกรรมบางแห่งในไทยที่มีโรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ตั้งอยู่ ยังไม่สามารถกำจัดสารพิษออกไปได้ทั้งหมด
"ในช่วง 2-3 มานี้ เราได้เห็นความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้สารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ความสนใจมักมุ่งไปที่การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการกำจัด หรือ 'การรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์' การที่เราพบว่ามีการปนเปื้อนเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการผลิต ทำให้เห็นชัดว่า เราจะสามารถเข้าใจถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อมทั้งหมดของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาตลอดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์" ดร. เควิน บริกเดน นักวิทยาศาสตร์จากกรีนพีซกล่าว
การวิจัยยังได้ครอบคลุมถึงการปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดินหลายแห่ง โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้แหล่งผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งพบว่ามีการปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยประเภทคลอรีน (VOCs) และโลหะเป็นพิษหลายชนิดรวมทั้งนิกเกิล การปนเปื้อนสารเคมีในน้ำใต้ดินเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะชุมชนในพื้นที่หลายพื้นที่ใช้น้ำใต้ดินสำหรับทำน้ำดื่ม
"ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มักอ้างตัวว่าเป็นอุตสาหกรรมสะอาด แต่จากสถานการณ์จริงที่พบในโรงงานหลายแห่ง รวมทั้งที่อยู่ในประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย อุตสาหกรรมนี้กำลังก่อปัญหามลพิษทางน้ำในประเทศเพิ่มมากขึ้น และหากพิจารณาจากปริมาณแหล่งน้ำสะอาดที่กำลังลดลงแล้ว ปัญหานี้จะรอต่อไปไม่ได้" กิตติคุณ กิตติอร่าม ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนเฉพาะต่างๆ ตั้งอยู่ทั่วโลก ซึ่งมักมีกระบวนการผลิตที่ใช้ทรัพยากรและสารเคมีจำนวนมาก และมีการปล่อยของเสียอันตรายซึ่งก็ยังไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบเท่าที่ควร
"มันน่าตกใจที่มีข้อมูลเปิดเผยน้อยมาก ที่สามารถระบุชัดว่าโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใดส่งให้กับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อใด บริษัทยี่ห้อสินค้าต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการปนเปื้อนในแหล่งน้ำพอๆ กับโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนป้อนให้เหล่านั้น  และจำเป็นต้องมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อที่บริษัทยี่ห้อสินค้าจะได้ถูกบังคับให้รับผิดชอบต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตสินค้าของพวกเขา" กิตติคุณกล่าวเสริม
การใช้สารพิษจำนวนมากในกระบวนการผลิต ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อคนงานจากการสัมผัสในที่ทำงาน
"การปนเปื้อนที่น่าเศร้าและไม่ได้รับการกล่าวถึงที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ซึ่งซ่อนเร้นภายใต้ระบบซัพพลายเชนที่ไม่เปิดเผย ต้องหมดไป โรงงานผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้และบริษัทยี่ห้อสินค้าที่รับชิ้นส่วนมาจะต้องถูกตรวจสอบโดยละเอียด และต้องหยุดก่อมลพิษ การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดและมีอนาคตในเชิงเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง จึงไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดอุตสาหกรรมนี้จะไม่ควรจะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ไร้สารพิษ การทดแทนด้วยวัสดุที่ปลอดภัยกว่า การปกป้องสุขภาพคนงานที่ดีขึ้น และการป้องกันการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่แหล่งกำเนิด" กิตติคุณ สรุป
กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลไทยใช้ออกกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น ในเรื่องการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยน้ำทิ้งที่มีในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมสารเคมีอันตรายหลายชนิดที่ระบุในรายงานชิ้นนี้ ซึ่งก็ยังหละหลวมเกินไปที่จะลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้

วาฬและโลมา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแห่งท้องทะเล / วินิจ รังผึ้ง

 


    เมื่อเอ่ยถึงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลผู้คนคงนึกถึงปลาเป็นอันดับแรก แต่จะมีสักกี่คนที่นึกถึงสัตว์ทะเลที่ใกล้เคียงกับมนุษย์เรามากที่สุดและยังเป็นสัตว์ที่มีพัฒนาการสูงนั่นคือ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ซึ่งมนุษย์เราก็จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นชื่อก็บอกอย่างตรงตัวอยู่แล้วว่ามีพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกด้วยน้ำนมของผู้เป็นแม่ หลายคนอาจจะพบเห็นภาพของความอบอุ่นที่ทารกดื่มนมจากอกมารดาผู้ให้กำเนิด แต่คงยากจะนึกภาพออกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใต้ท้องทะเลนั้น จะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร จะมีนมให้ลูกกินหรือไม่ และใต้ทะเลนั้นจะให้ลูกกินนมอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ
      
       หลายคนอาจยังนึกไม่ออกว่าสัตว์ที่จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใต้ท้องทะเลนั้น มีหน้าตาอย่างไร หรือมีสัตว์อะไรบ้าง ในจำนวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในท้องทะเลที่เราท่านน่าจะรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั้นก็เช่น โลมาและวาฬที่เราเรียกกันอย่างติดปากว่าปลาโลมาและปลาวาฬนั่นเอง ความจริงใครจะเรียกว่าปลาโลมาและปลาวาฬนั้นก็คงไม่ผิด เพราะรูปร่างหน้าตานั้นทั้งโลมาและวาฬแต่ละชนิดก็ได้พัฒนารูปร่างหน้าตาจากบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโบราณเมื่อประมาณ 45 ล้านปีก่อนจำพวก Mesonyx ซึ่งนักวิชาการบอกว่ามีรูปร่างคล้ายกับหมาผสมหนู ผมพยายามนึกภาพสัตว์ทั้งสองผสมกันอย่างไรก็ยังนึกไม่ออก เมื่อผ่านกาลเวลาเนิ่นนานทั้งโลมาและวาฬก็ผ่านการปรับตัวจนมีวิวัฒนาการให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลจนมีรูปร่างที่เพรียวน้ำ สามารถเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว และมีรูปร่างหน้าตาเหมือนปลาดี ๆ นี่เอง ใครจะเรียกปลาโลมาและปลาวาฬตามชื่อเรียกท้องถิ่นที่ชาวบ้านคุ้นเคยก็คงไม่ผิด แต่สำหรับนักชีววิทยาทางทะเลนั้นเขาจำแนกทั้งโลมาและวาฬออกจากสัตว์จำพวกปลา เข้ารวมกับกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์
      
       นอกจากจะมีพัฒนาการด้านรูปร่างหน้าตาให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในท้องทะเลได้แล้ว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยังคงหายใจด้วยการใช้ปอดฟอกโลหิต จึงยังต้องมีช่องจมูกที่ใช้หายใจซึ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่บนหัว ตรงช่องที่ใช้พ่นน้ำออกแล้วหายใจเอาอากาศเข้าไปซึ่งวาฬและโลมารวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆอย่างเช่นพะยูน จึงจำเป็นต้องว่ายขึ้นมาหายใจบริเวณผิวน้ำเป็นระยะๆ นอกจากนี้มันยังได้พัฒนาด้วยการเพิ่มชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อป้องกันการสูญเสียอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย และปรับให้กลไกของร่างกายมีการเผาผลาญต่ำ จึงทำให้สามารถอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลายาวนานเช่นวาฬหัวทุย ( Physeter macrocephalus ) สามารถดำน้ำได้ลึกถึงราว 3,000 เมตรเลยทีเดียว
      
       โลมาและวาฬจะออกลูกเป็นตัวเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป โดยลูกที่เกิดมาจะมีขนาดใหญ่ราว 40 เปอร์เซ็นต์ของพ่อแม่ เพื่อประโยชน์ในการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย และสามารถอยู่รอดได้ในสภาวะแวดล้อมของท้องทะเล เมื่อคลอดออกมาก็จะสามารถว่ายน้ำได้ทันที โดยแม่จะเป็นผู้คอยดูแลเอาหัวดุนให้ลูกขึ้นไปหายใจบนผิวน้ำ และจะว่ายเวียนดูแลเลี้ยงลูกเป็นเวลานานจนกว่าลูกจะหย่านม ซึ่งในวาฬบางชนิดใช้เวลาเลี้ยงดูลูกเป็นเวลานานถึง 2 ปี แม่โลมาและวาฬจะให้นมลูกโดยหัวนมที่อยู่บริเวณใต้ท้อง ซึ่งจะซ่อนอยู่สองข้างใกล้กับช่องเพศซึ่งมีกล้ามเนื้อยึดรอบสำหรับบีบตัวให้หัวนมโผล่ออกมาเมื่อลูกต้องการ และดึงกลับไปซ่อนในตัวเมื่อให้นมลูกเสร็จ นอกจากโลมาและวาฬจะต้องเลี้ยงดูทะนุถนอมลูกน้อยเช่นเดียวกับมนุษย์แล้ว มันยังเป็นสัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการสื่อสารระหว่างกันโดยใช้กริยาท่าทางและเสียง โดยโลมาและวาฬในกลุ่มที่มีฟันนั้น สามารถส่งสัญญาณเสียงออกไปแล้วรับการสะท้อนกลับมาแปลเป็นสัญญาณเข้าสู่สมอง ส่วนในกลุ่มที่ไม่มีฟันจะใช้สัญญาณเสียงอีกลักษณะหนึ่งที่มีความถี่ต่ำ ซึ่งสัญญาณเสียงนี้อาจดังไปไกลได้หลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว
      
       สัญญาณเสียงที่โลมาส่งออกมานั้น นักวิทยาศาสตร์บางท่านศึกษาว่ามันสามารถจะส่งสัญญาณเสียงแล้วสะท้อนกลับมาแปรเป็นภาพได้ราวการการทำอัลตราซาวด์ สามารถจะเห็นภาพโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ที่ว่ายน้ำอยู่ ถึงขนาดที่มันสามารถจะรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังอุ้มท้องมีชีวิตเล็กๆอยู่ในท้องด้วย แหล่งข้อมูลทางวิชาการไม่ได้บอกว่ามันบอกได้ถึงขนาดว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชายด้วยหรือเปล่า
      
       อย่างไรก็ตามฝรั่งต่างชาติยังเชื่อในทฤษฎีโลมาบำบัด โดยการให้เด็กป่วยและเด็กพิการลงไปว่ายน้ำเล่นกับโลมา ซึ่งโลมาจะเข้ามาคลอเคลียและสามารถจะกระตุ้นให้เด็กๆเหล่านั้นเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางที่ดีขึ้น ร่าเริงขึ้น และทุเลาจากการการเจ็บป่วย ความจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะโลมานั้นนับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีมันสมองเฉลียวฉลาด และคงจะรับรู้ได้ดีว่ามนุษย์นั้นไม่เป็นอันตรายต่อมัน จึงเข้ามาให้เด็กๆลูบหัว หรือขึ้นมาชูคอยิ้มอย่างเป็นมิตร
      
       แม้นผมเองซึ่งก็ไม่เด็กแล้วและก็มิได้ป่วยไข้อะไร แต่เมื่อได้มีโอกาสดำน้ำกับฝูงโลมาครั้งหนึ่งในชีวิต ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย ซึ่งหลายปีมาแล้วที่ทะเลแดงในน่านน้ำอียิปต์ เรานั่งเรือยางเตรียมตัวลงดำน้ำกันบริเวณเรือจมลำหนึ่ง แต่แล้วก็มีโลมาฝูงใหญ่ว่ายสวนทางมา เราจึงพร้อมใจกันหงายหลังทิ้งตัวจากเรือยางลงดำดิ่งกลางฝูงโลมา ซึ่งพอหน้ากากสัมผัสกับผืนน้ำก็เห็นภาพของโลมาขนาดยาวเมตรครึ่งกว่า 10 ตัว ว่ายเวียนวนส่งเสียงเล็กแหลมดังไปทั่วท้องทะเล มันว่ายผ่านเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนทักทายแล้วก็ว่ายจากไป มันคงกำลังเดินทางไกลไปไหนสักแห่งกระมังจึงไม่มีเวลาอยู่เล่นกับพวกเรานาน แต่เพียงชั่วนาทีสั้นๆนั้นก็ได้สร้างความตื่นเต้นและความปีติให้กับผู้ได้พบเห็นไม่น้อย
      
       จากรายงานของทีมงานนักวิจัยจากสถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเลจังหวัดภูเก็ตพบว่า ในน่านน้ำทะเลไทยนั้นมีรายงานการพบโลมาและวาฬจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 19 ชนิด คือ วาฬฟิน วาฬบรูด้า วาฬหัวทุย วารฬหัวทุยเล็ก วาฬหัวทุยแคระ วาฬฟันเขี้ยว วาฬเพชฌฆาต วาฬเพชฌฆาตดำ วาฬนำร่องครีบสั้น วาฬหัวแตงโม โลมาเผือกหรือโลมาหลังโหนก โลมาปากขวด โลมาฟันห่าง โลมาปากยาว โลมากระโดด โลมาแถบ โลมาลายจุด โลมาหัวบาตรหรือโลมาอิระวดี และโลมาหัวบาตรหลังเรียบ
      
       สำหรับสถานการณ์โลมาและวาฬในเมืองไทยนั้นยังนับเป็นโชคดี ที่คนไทยเราไม่ล่าและไม่นิยมกินเนื้อโลมาและวาฬเหมือนคนบางกลุ่มบางชาติ การล่าทำลายจึงไม่ค่อยมีเท่าใดนัก และคนไทยเราก็ยังมีความรู้สึกที่ดีกับโลมาในฐานะที่มันเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาด ทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์เรา จึงมีความเชื่อกันว่าเมื่อออกเรือแล้วได้เจอกับฝูงโลมา ก็จะเป็นความโชคดี เพราะโลมาจะนำโชคดีมาให้ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันสำหรับพวกที่แอบล่าโลมาเป็นๆส่งขายตามแหล่งเลี้ยงโลมา แต่ก็มีไม่มากเท่าใดนัก เพราะโลมานั้นว่ายน้ำได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่ค่อยติดอวนกันง่ายๆ
      
       มนุษย์บางกลุ่มยังคงล่าโลมาและวาฬอย่างโหดร้ายทารุณเพื่อแลกกับเงินตราโดยไม่ได้คำนึงถึงว่าโลมาและวาฬนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับมนุษย์ หรือว่ามนุษย์เรากำลังมีพัฒนาการครั้งใหญ่ ที่กำลังจะเปลี่ยนตัวเองจาก “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ไปเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน” แล้วก็ไม่รู้

ประชากรไทย 4.4 ล้านคน เสี่ยงต่อผลกระทบจากมลพิษทางน้ำ




วันนี้กรีนพีซเปิดเผยรายงานอันน่าวิตก เกี่ยวกับพื้นที่และแหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำในประเทศไทย ระบุประเทศไทยมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำถึงร้อยละ 92.68 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยเป็นพื้นที่เสี่ยงในระดับสูงร้อยละ 6.87 ของพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด และอาจส่งผลกระทบต่อประชากรได้มากถึงประมาณ 4,440,049 คน หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขในทันที

แม่น้ำสายหลักของประเทศไทย ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ
 
 
 
แผนที่หมู่บ้านในประเทศไทย ที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ

 
 
แผนที่แม่น้ำในประเทศไทยที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ
 
 

แผนที่ของพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำในประเทศไทย ประกอบด้วย 1) ความเสี่ยงสูง 2) ความเสี่ยงปานกลาง 3) ความเสี่ยงต่ำ 4) ไม่มีความเสี่ยง

รายงาน " พื้นที่และแหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำในประเทศไทย" ที่ศึกษาโดยกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บูรณาการการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมภาคสนาม เข้่ากับเทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่และแหล่งน้ำที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ (1) ผลการศึกษาพบว่าจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงในระดับสูงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี และระยอง
"ปัญหาการขยายตัวของกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมก่อมลพิษทางน้ำ ที่ไม่ลดน้อยลงและเพิ่มขึ้นอย่างขาดการวางแผน การใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นในภาคเกษตรกรรม และ ความหนาแน่นของประชากร ได้รับการศึกษาว่าเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำ (1) พื้นที่ที่มีความเสี่ยงในระดับสูงส่วนใหญ่ คือ บริเวณที่มีความเป็นเมืองและอุตสาหกรรมสูง แม้จะเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเล็ก แต่จะได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุด เนื่องจากมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น" นายพลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
การศึกษาได้แบ่งระดับความเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำเป็น 4 ระดับคือ ความเสี่ยงสูง ปานกลาง ต่ำ และไม่มีความเสี่ยง ข้อมูลศึกษาตามรายภาคพบว่า ภาคตะวันออกมีสัดส่วนพื้นที่เสี่ยงในระดับสูงมากที่สุด คือ ร้อยละ 35.64 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือภาคกลาง คือ ร้อยละ 15.89 ของพื้นที่ทั้งหมด
นอกจากนี้ กว่าร้อยละ 99 ของหมู่บ้านในประเทศไทย (ดูแผนที่ หรือ ดูรายชื่อหมู่บ้าน) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งน้ำ มีความเสี่ยงจากมลพิษทางน้ำ่่เช่นเดียวกัน โดยร้อยละ 41.64 พบความเสี่ยงในระดับสูงมาก โดยหมู่บ้านเหล่านี้มีประชากรหนาแน่นประมาณ 4,440,049 คน
ในรายงานการศึกษายังระบุว่า จังหวัดระยองมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำถึงร้อยละ 97.78 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด โดยหมู่บ้าน 302 แห่ง หรือร้อยละ 78.44 ของหมู่บ้านทั้งหมด ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มีความเสี่ยงในระดับสูงต่อการเกิดปัญหามลพิษทางน้ำ ส่งผลกระทบต่อประชากรได้ถึง 454,551 คน ดังนั้นการประกาศบริเวณอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ จึงควรเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน และโปร่งใสอย่างที่สุด
นอกจากนี้ รายงานยังเปิดเผยว่า แม่น้ำที่มีความเสี่ยงในระดับสูงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ พบ 7 สาย ในภาคกลาง 8 สาย ใน ภาคตะวันออก  14 สาย และแหล่งน้ำนิ่ง 2 แหล่งในภาคเหนือ 14 สายและแหล่งน้ำนิ่ง 5 แหล่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในจำนวนดังกล่าวนี้ มีแหล่งน้ำหลายแห่งที่ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าพบปัญหาด้านคุณภาพแหล่งน้ำ แต่มีความเสี่ยงในระดับสูงที่อาจเกิดปัญหามลพิษทางน้ำได้ในอนาคต ( ดูแผนที่แม่น้ำสายหลักในพื้นที่เสี่ยงต่อมลพิษทางน้ำ)
"แหล่งน้ำที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษในรายงาน ล้วนเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมากต่อประชาชนไทย ทั้งในด้านเศรษฐศาสตร์สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประเทศ กรีนพีซจึงเรียกร้องให้รัฐบาลลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจังเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามต่อแหล่งน้ำของประเืืทศที่กำลังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ปริมาณน้ำจืดต่อหัวของคนไทยมีน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจังที่สุด เพื่อปกป้องแหล่งน้ำของเราที่มีอยู่อย่างจำกัดให้รอดพ้นจากมลพิษ" นายพลายกล่าวเพิ่มเติม
ดาวน์โหลดรายงานพื้นที่เสี่ยงต่อมลพิษทางน้ำในประเทศไทย
(1) ผลศึกษาพบปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดมลพิษทางน้ำทั้งสิ้น 12 ปัจจัย และเมื่อผ่านกระบวนการวิเคราะห์แบบหลายตัวแปร (Multi-Criteria Analysis; MCA) ทำให้ทราบความสำคัญของแต่ละปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดมลพิษทางน้ำมากที่สุด 6 อันดับแรก คือ 1) ความลาดชันของพื้นที่ 2) โรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษทางน้ำ 3) พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 4) ปริมาณการใช้สารเคมีเกษตร 5) ปริมาณสารเคมีที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และ 6) ความหนาแน่นประชากร ตามลำดับ (2) ภาคกลาง ได้แก่ แม่น้ำนครชัยศรี แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำลัดเกร็ด แม่น้ำสุพรรณบุรี ภาคตะวันออก ได้แก่ แม่น้ำพระปรง แม่น้ำหนุมาน ภาคเหนือ ได้แก่ น้ำแม่แจ่ม น้ำแม่ฝาง แม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำแม่ลาว แม่น้ำแม่แตง เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิตติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ แม่น้ำชี แม่น้ำโขง แม่น้ำสงคราม ลำชี ลำเชิงไกร ลำโดมใหญ่ ลำปลายมาศ ลำพระเพลิง ลำมูลน้อย ลำตะคองเก่า ห้วยหลวง เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนอุบลรัตน์ ภาคใต้ ได้แก่ แม่น้ำปากพนัง ทะเลน้อย คือ เขื่อนปัตตานี

แจ้งเหตุมลพิษทางน้ำ

บริจาค

การทำลายป่า

การทำลายป่า

    การทำลายป่าและการเสื่อมสภาพของป่าเป็นทั้งสาเหตุของและผลกระทบของภาวะโลกร้อน ต้นไม้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และใช้มันเพื่อเจริญเติบโต แต่เมื่อต้นไม้เหี่ยวตายไปหรือถูกเผา คาร์บอนไดออกไซด์ก็ถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง นอกจากนี้ต้นไม้ที่กำลังย่อยสลายยังผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีผลกระทบรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์
ด้วยเหตุนี้การทำลายป่าและการเสื่อมสภาพของป่าจึงทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเพราะก๊าซเรือนกระจกชนิดต่างๆ ถูกปล่อยออกมา (เช่น จากไฟป่า หรือการใช้ต้นไม้ที่ถูกตัดเป็นฟืน) พร้อมๆ กับที่จำนวนต้นไม้ที่เป็นตัวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ลดลง คาร์บอนไดออกไซด์ 30% ที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศใน 150 ปีที่ผ่านมาคาดว่ามาจากการทำลายป่า แต่นี่ยังเป็นปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ยังถูกกักเก็บไว้ในป่า ป่าสนแถบหนาวในแคนาดาและรัสเซียเพียง 2 ประเทศเป็นตัวกักเก็บก๊าซคาร์บอนถึง 40% ของโลก
ภาวะโลกร้อนทำร้ายป่าอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงของระดับอุณหภูมิและปริมาณฝนอาจเป็นอันตรายต่อป่าได้ ความแห้งแล้งและไฟป่าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน ไฟป่าอาจเป็นปรากฏการณ์ปกติในป่า โดยทำลายพุ่มไม้ที่หนาทึบ และเป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตของพืชบางสายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ป่าที่ถูกกิจกรรมมนุษย์และความแห้งแล้งคุกคามมากเกินไปทำให้ไฟป่าเผาผลาญทำลายได้มากขึ้น มีตัวบ่งชี้แล้วว่าป่าฝนอะเมซอนกำลังแห้งตาย ซึ่งอาจนำไปสู่ไฟป่าและการเปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทราย ซึ่งจะมีผลโต้กลับที่อันตราย
นอกจากนี้แมลงสายพันธุ์ที่เข้ารุกรานอาจทำร้ายสภาพป่าด้วย แมลงมีบทบาทต่อระบบนิเวศของป่าสนแถบหนาว โดยย่อยสลายสิ่งปฏิกูลบนพื้นดิน เป็นอาหารของนกและสัตว์เล็ก และกำจัดต้นไม้ที่เป็นโรค แต่แมลงมีแนวโน้มที่จะโจมตีป่าบ่อยขึ้นและถี่ขึ้นเนื่องจากป่าที่เจริญเติบโตจนอยู่ตัวแล้วต้องพ่ายแพ้ต่อสภาพกดดันของป่าที่ร้อนและแห้งขึ้น สภาพอากาศที่เย็นลงช่วยควบคุมจำนวนแมลงสายพันธุ์รุกรานเอาไว้ แต่ในขณะที่ทวีปอาร์กติกร้อนขึ้น ได้ทำให้แมลงต่างถิ่นบางสายพันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้น
การปลูกป่าและการป่าไม้แบบยั่งยืน
สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ คือ การจัดการป่าไม้แบบยั่งยืนอย่างเหมาะสมไม่ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปลูกต้นไม้ใหม่แทนต้นไม้ทุกๆ 1 ต้นที่ถูกตัดไป ในทางตรงกันข้าม การถางป่าและการแปรสภาพป่าให้เป็นเมืองนั้น มีผลกระทบในด้านลบสูงมาก เนื่องจากผืนป่าได้ถูกทำลายและแทนที่ด้วยพื้นปูนและอาคารที่ดูดความร้อน
เห็นได้ชัดเจนว่าการปลูกป่า การตัดไม้แบบยั่งยืน และ การปกป้องป่าโบราณ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้ภาวะโลกร้อนเพิ่มเร็วขึ้นไปอีก ตราบที่ผืนป่าเหล่านี้จะไม่ถูกทำลายในภายหลัง (โดยการตัดไม้ ไฟป่า ฯลฯ)
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโลกร้อนที่รุนแรงอันมีสาเหตุจากมนุษย์ เราจำเป็นต้องจัดการกับสาเหตุหลัก นั่นคือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรม ออกสู่บรรยากาศ
ช่วยปกป้องผืนป่าโบราณโดยการซื้อไม้ที่ได้รับการรับรองจากสภาพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council; FSC) และผลิตภัณฑ์ที่นำวัสดุหลังการบริโภคกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เรารักษาถิ่นที่อยู่อาศัยที่สำคัญต่อสัตว์ป่าและพรรณพืช และช่วยปกป้องภูมิอากาศในเวลาเดียวกัน

กทม.จัด “โครงการตลาดนัดมูลฝอยอันตราย” ชวนนำขยะแลกยาที่รพ.



    กทม.จัด “โครงการตลาดนัดมูลฝอยอันตราย” เพื่อรณรงค์คัดแยกขยะอันตรายออกจากมูลฝอยทั่วไป ตั้งแต่ 15 ก.ย.-31 ธ.ค. 54 ร่วมนำขยะอันตรายมาแลกยาสามัญประจำบ้านได้ที่โรงพยาบาลสังกัด กทม.ทั้ง 8 แห่ง
                
       พญ.มาลินี  สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานแถลงข่าว “โครงการตลาดนัดมูลฝอยอันตราย” โดยมี นายบรรจง สุขดี ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม และนายสราวุฒิ สนธิแก้ว ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กทม.ร่วมแถลง ณ ห้องรัตนโกสินทร์ กทม.
          
       กทม.กำหนดจัด “โครงการตลาดนัดมูลฝอยอันตราย” ขึ้น เพื่อรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ ผู้ใช้บริการของโรงพยาบาลสังกัด กทม.และประชาชนทั่วไป ที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และแรงจูงใจในการคัดแยกขยะอันตรายออกจากมูลฝอยทั่วไป ส่งผลให้การจัดการขยะอันตรายเป็นไปอย่างไม่ถูกต้องและขาดความระมัดระวัง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ได้คัดแยกขยะอันตรายได้อย่างถูกวิธี โดยการจัดกิจกรรมให้ผู้สนใจนำขยะอันตรายมาแลกยาสามัญประจำบ้าน ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานครทั้ง 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโรอุทิศ โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และโรงพยาบาลสิรินธร  ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูล พบว่า ในปัจจุบันปริมาณขยะอันตรายจากบ้านเรือนที่จัดเก็บได้มีเพียง 0.60 ตันต่อวัน จากปริมาณที่คาดการณ์เฉลี่ยทั้งหมดต่อวัน 24 ตัน โดยขยะประเภทมูลฝอยอันตราย แบ่งเป็นกลุ่มแบตเตอรี่ (รีไซเคิลไม่ได้) ได้แก่ แบตเตอรี่รถยนต์ ถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ ถ่านก้อนเล็ก 2A,3A  กลุ่ม หลอดไฟ ได้แก่ หลอดฟลูออเรสเซนต์สั้น/ยาว หลอดตะเกียบ หลอดไส้ กลุ่มอุปกรณ์สำนักงาน ได้แก่ ไส้ปากกา กระดาษคาร์บอน หมึกปรินเตอร์ แท่นหมึก/ขวดหมึก  กลุ่มบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ กระป๋องสเปรย์ ยาฆ่าแมลง ขวดยาทาเล็บ หลอดยาย้อมผม เครื่องสำอางค์หมดอายุ  ขวดยาหมดอายุ ขวดน้ำมันเครื่อง ขวดทินเนอร์/กระป๋องสี  กลุ่มแบตเตอรี่ (รีไซเคิลได้) ได้แก่ แบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก แบตเตอรี่กล้องถ่ายรูป (ชนิด recharge)  และแบตเตอรี่มือถือ (ชนิด recharge)
                  
       ทั้งนี้ ขอเชิญชวนเจ้าหน้าที่ ผู้ใช้บริการของโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร และประชาชนทั่วไปนำขยะอันตรายมาแลกยาสามัญประจำบ้าน ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ทั้ง 8 แห่ง ระหว่างวันที่ 15 ก.ย.-31 ธ.ค.2554

ตำรวจทลายตรวจ ไม้สักถูกตัดกลางป่าสงวนฯ



ตร.ทลายตรวจไม้สักถูกตัดกลางป่าสงวนฯตาก (ไอเอ็นเอ็น)           ตำรวจปราบปรามการกระทำผิดทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สนธิกำลัง ยึดไม้สัก กลางป่าสงวนแห่งชาติท่าสองยาง จ.ตาก ขณะที่เจ้าของรู้ทัน หลบหนีเข้ากลีบเมฆ

          พล.ต.ต. มิสกวัน บัวรา ผบก.ปทส. ได้สั่งการให้ พ.อ.นิพนธ์ เกินศิลป์ ผกก.4 วางแผนนำกำลังร่วมกับ ตำรวจตระเวนชายแดน กองร้อยที่ 345 อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก พร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจยึดไม้สักท่อนซุง กลางป่าสงวนแห่งชาติท่าสองยาง บริเวณท้ายหมู่บ้านแม่ต้าน พบโรงเลื่อยไม้ขนาดใหญ่ และบริเวณใกล้เคียงยังพบไม้สักทองจำนวนกว่า 30 ท่อน วางเรียงกัน โดยมีใบไม้ และกิ่งไม้ปกปิดอำพรางไว้

          นอกจากนี้ ยังตรวจยึดไม้สักแผ่นเป็นลักษณะ 9 เหลี่ยม อีกจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึด และตีตราไว้เป็นหลักฐานก่อนจะหาผู้กระทำผิดอีกครั้ง โดยการจับกุมครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าไม้ที่จับกุมได้กว่า 1 ล้านบาท เจ้าหน้าที่กล่าวว่าขบวนการตัดไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติท่าสองยาง ได้มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง มีการสร้างโรงเลื่อยค้างแรมขนาดใหญ่ โดยว่าจ้างชาวบ้านใกล้เคียงเข้ามาทำการตัดไม้สัก นำต้นขนาดใหญ่ เกือบ 2-3 คนโอบ โดยมีการใช้ทั้งช้างชักลากจำนวนหลายเชือกอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลว่า ไม้ที่ถูกลักลอบตัดเป็นของใคร

น้ำท่วมคลี่คลายเหลือ 23 จ. สวนทางตายพุ่ง 136 ศพ


ปภ.สรุปสถานกาณ์น้ำท่วมมีแววคลี่คลาย เหลือยังจม 23 จังหวัด ลดลง 1 จังหวัด แต่สวนทางกับยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 136 ศพ ด้านกรมทรัพย์ฯ เตือนอุบลฯ-ศรีสะเกษระวังดินถล่มและน้ำป่า...
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ขณะนี้ยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 23 จังหวัด ลดลงจากวันที่ 21 ก.ย. 1 จังหวัด โดยจังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย ได้แก่ 1. สุโขทัย 2. พิจิตร 3. พิษณุโลก 4. นครสวรรค์ 5. อุทัยธานี 6. ชัยนาท 7. สิงห์บุรี 8. อ่างทอง 9. พระนครศรีอยุธยา 10. ลพบุรี 11. สระบุรี 12. สุพรรณบุรี 13. นครปฐม 14. ปทุมธานี 15. นนทบุรี 16. อุบลราชธานี 17. ชัยภูมิ 18. ยโสธร 19. ขอนแก่น  20. มหาสารคาม 21. ฉะเชิงเทรา 22. นครนายก และ 23. ปราจีนบุรี รวม 144 อำเภอ 1,075 ตำบล 8,031 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน 563,010 ครอบครัว 1,877,106 คน มีผู้เสียชีวิตสะสมมาตั้งแต่เมื่อครั้งพายุนกเตนจนถึงล่าสุดรวม 136 คน เพิ่มขึ้นจากวันที่ 20 ก.ย. จำนวน 6 คน และยังสูญหายอีก 2 คน
วันเดียวกันมีรายงานว่า กรมทรัพยากรธรณีได้แจ้งเตือนให้ระมัดระวังน้ำป่าและดินถล่มในพื้นที่ จ.อุบลราชธานีและศรีสะเกษในระยะ 1-2 วันนี้ หลังเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน
ส่วนพื้นที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา แม่น้ำมูลเริ่มล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประมาณ 10 หลัง ในเขตเทศบาลตำบลพิมาย ซึ่งสร้างอยู่ใกล้ตลิ่ง ล่าสุดทางเทศบาลได้เร่งขุดลอกแม่น้ำมูลเพื่อระบายน้ำและหาวิธีการป้องกันแล้ว.